ในเบื้องแรก สิ่งที่ผมนึกถึง คือ 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ภาพของความเชี่ยวกรากของกระแสชาตินิยมล้าหลัง-ปฏิกิริยา ซึ่งบ้างเรียกกันว่า คลั่งชาติ นั้น รุนแรงยิ่งนัก ผลโพลเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระแส แต่โพลไม่อาจหมายเอาความจีรังได้เต็มที่นัก
เหตุการณ์นับแต่การฉีกหน้างาน ASEAN Summit บิ๊กจิ๋วเผยตัวและเริ่มเดินทางเยือนเพื่อนบ้าน กัมพูชาจะตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษา ไทยเรียกทูตกลับ กัมพูชาเรียกบ้าง ข่าวเรื่องการระงับความร่วมมือต่างๆ และกรณีทักษิณกับ timesonline ทั้งหมดเกิดขึ้นต่อเนื่องกันช่วงปลายต.ค. – ต้น พ.ย. 2552
ผมได้อ่านบทความในประชาไท 2 บทความ ของ อ.พวงทอง เรื่อง ความมั่นใจในตนเองของกัมพูชา (http://www.prachatai.com/journal/2009/11/26515) และ คุณสุภลักษณ์ เรื่อง ความรักนั้นแสนสั้น แต่ความแค้นนั้นแสนยาว (http://www.prachatai.com/journal/2009/11/26502) ซึ่งล้วนเป็นบทความที่ออกมาเร็ว แต่เฉียบคมในประเด็นที่ท้วงติง
ส่วนตัวผมเองรวบความคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางการเมืองในช่วงข้างต้นไว้ ดังนี้
1. มิติทางการเมือง
ผมไม่เห็นด้วยและขอประณามคำกล่าวอ้างของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ว่า ชาวไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจที่กัมพูชาแทรกแซงไทย (โดยการอ้างว่าทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม) และวิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของไทย รัฐบาลเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตยก็จริง แต่การออกแถลงการณ์บางอย่างไม่ถือว่านำมาอ้างอธิปไตยสูงสุดของประเทศได้เต็มร้อย โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองที่คนทั้งประเทศไม่ได้เห็นไปในทิศทางเดียวกัน (อำนาจบริหารไม่ได้ทำให้รัฐบาลเป็นตัวแทนทางการเมืองครับ….เป็นแค่ฝ่ายบริหารและบริหารในนามอำนาจอธิปไตย การออก statement อ้างชื่อคนทั้งประเทศ โดยยังมีความขัดแย้งทางการเมืองในประเด็นนั้นภายในประเทศ (ซึ่งไม่ใช่งานบริหาร) จึงไม่เหมาะ)
แต่การกระทำที่รุนแรงทั้งหมดอาจเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้คิดเอาไว้ก่อนแล้ว อย่างน้อยนับแต่ช่วง ASEAN Summit เป็นต้นมา ที่คงเกิดความคิดว่าต้องแสดงออกซึ่งความไม่พอใจบ้าง เพราะบุคลิกของอภิสิทธิ์และนายกษิตนั้น ผมว่าเขาเจ้าคิดเจ้าแค้นและชอบเอาชนะ การโดนหักหน้าขนาดนี้จะอย่างไรเสียคงต้องตอบโต้แน่
อีกข้อหนึ่งคือ เป็นรัฐบาลมาเกือบปี แต่พวกเขาหาทางลงไม่ได้จากกรณีที่เคยโจมตีรัฐบาลพลังประชาชนไว้ไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องขายชาติ ขายแผ่นดิน และจะเอาปราสาทพระวิหารคืน ครั้นได้เป็นรัฐบาลเอง กลับมีแต่ตั้งรับและเกิดกระแสวิพากษ์ว่าพวกเขาอยู่ในวังวนว่าจะหาทางลงให้สวยงามอย่างไร ไม่ให้ขายหน้า เพราะสิ่งที่ประกาศไว้สมัยเป็นฝ่ายค้านนั้น จริงๆ แล้วทำไม่ได้
การหาทางลงด้วยไม้แข็ง-วิธีพาลเพื่อนบ้าน (มี กรณีกัมพูชาแต่งตั้งทักษิณ มาเป็น Gift from Mars พอดี) จึงได้ใจกองเชียร์แม้ว่าในแง่สารัตถะจะว่างเปล่า ว่างเปล่าเพราะมันไม่ช่วยทำให้สิ่งที่พูดสมัยฝ่ายค้านเป็นจริงแต่อย่างไร (ปราสาทกลับมาเป็นของไทย?) แต่กลับแก้เก้อได้ดีนัก (กองเชียร์คลั่งชาติปลาบปลื้มว่า นี่ไงเล่นแรงใส่มันแล้ว)
การเลือกทางลงเช่นนี้ สำหรับผมคือความเห็นแก่ตัวและหลอกลวงทั้งตนเองและผู้อื่น หลอกตัวเองเพราะคิดแต่ว่าเป็นพี่เบิ้ม ถ้าขาดเราแล้วเขาจะตายซึ่งผิด ส่วนที่ว่าหลอกคนอื่นเพราะเอาภาพความรุนแรงมาสร้างว่าตนเด็ดขาด แต่จริงๆ แก้ไขคำโกหกสมัยเป็นฝ่ายค้านไม่ได้เลย
ที่สำคัญที่สุด คือ ศตวรรษนี้แล้วคนฉลาดย่อมไม่เลือกที่จะสร้างความตึงเครียดชายแดนระหว่างประเทศใดๆ ก็ตาม เพราะประชาคมโลกไม่มีทางยอมให้ก่อสงครามด้วยเหตุผลงี่เง่าๆ และเราเองจะกลายเป็นตัวตลก
2. มิติประวัติศาสตร์ชาตินิยม
ผมเฝ้ามองปรากฎการณ์เรื่องพระยาละแวก การเนรคุณแผ่นดิน (ในบางส่วนเน้นไปที่กษัตริย์) รวมทั้งอารมณ์ของผู้คนที่แสดงออกทาง message ท้ายชื่อ MSN
ความรู้สึกแรกผมนึกเปรียบกับ 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ช่างเหมือนกับขบวนของผู้กล้าชาวซ้อง เมื่อได้ข่าวว่าพวกซิตันจะมาบุกเส้าหลินชิง 72 ยอดวิชา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการยึดตงง้วนและอาณาจักรซ้อง พวกเขาไม่ลังเลที่จะก่อโศกนาฏกรรมอันรุนแรงป่าเถื่อนที่พวกเขาต้องสำนึกผิดไปชั่วชีวิต
รู้สึกผิดเพราะการปล่อนตัวให้อุปทานฟุ้งซ่านไปเชื่อขาวโคมลอย แต่เพราะเป็นโคมลอยที่ช่างกระทบต่อต่อมชาตินิยม ในการลงมือโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ผมเข้าใจว่าเหตุที่ต้องสำนึกผิดไปชั่วชีวิตเพราะ สัญชาติญาณบอกว่าไม่ควรทำ (ยอดฝีมือ 1 ฝูง ลงมือใส่ พ่อ แม่ ลูกอ่อน 3 ชีวิต และมีแต่พ่อเท่านั้นที่มีวรยุทธ์….นี่หรือจะไปขโมยวิชาฝีมือบนเขาเซี่ยวซิกฮง!!!!) แต่เพราะความกลัวครอบงำ จนยอมตัวให้ละเลยสัญชาติญาณ
ฉันใดก็ฉันนั้น…สัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมอยากอยู่อย่างสงบ โดยเฉพาะกับเพื่อนบ้านที่หนีกันไปไหนไม่ได้ แต่ความคลั่งชาติทำให้สังคมไทยขาดสติ
อารมณ์ร่วมของสังคมไทยตอนนี้แทบไม่ต่างกันเลย คำประเภท ตัวไทยใจเขมร พึ่งพระบรมโพธิสมภารแต่ทรยศ ฯลฯ พรั่งพรูเต็มไปหมดบน MSN contacts คอลัมนิสต์ในไทยรัฐเกือบทั้งหมดหันไปโหนกระแสชาตินิยม ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีรู้ทันรัฐบาลอภิสิทธิ์ค่อนข้างมาก ผมคิดว่านี่พอจะถือเป็นตัวอย่างของความคลั่งชาติบังตา (ที่จริงบดบังสติปัญญา) และทั้งหมดคือเหตุให้กระแสคลั่งชาติโหมกระพืออย่างรุนแรง
เมื่อมีเรื่อง timesonline มาเสริมอีกเลยยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเรื่องสถาบันกษัตริย์ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า จุดเมื่อไรไฟติดเมื่อนั้น สำหรับผม คงรู้สึกเหมือนคุณธนาพล (บก. ฟ้าเดียวกัน) และฝ่ายหัวก้าวหน้าทั้งหลายที่อ่านบทสัมภาษณ์แล้วบอกว่า "ไม่เห็นจะมีอะไรเลย" ไม่รู้เป็นเพราะฝ่ายหัวก้าวหน้าอยู่กับการวิพากษ์เชิงวิชาการ (ที่ไม่หมิ่นแน่ๆ) ซึ่งไปไกลกว่าทักษิณเยอะแล้วหรือเปล่า เลยพร้อมใจกันพูดว่า ไม่เห็นเป็นประเด็น…ซึ่งจริงๆ ทักษิณไม่เคยคิดเรื่องบ้าๆ อย่างที่เขาโดนใส่ความอยู่แล้ว ความข้อนี้ อ.สมศักดิ์ เคยวิเคราะห์ไว้อย่างดี รวมทั้งคนที่ติดตามพัฒนาการของความขัดแย้ง (ติดตามแบบไม่ใช่แค่ตามอ่าน Manager) ย่อมเห็นชัดขึ้นๆ ทุกวันว่า มันคือการปะทะของกลุ่มพลังจารีตนิยม นำโดย Network Monachy กับพลังประชาธิปไตยเกิดใหม่
แต่ในระยะยาวผมคิดว่าคนเหล่านี้ (คลั่งชาติ) จะต้องสำนึกผิดเหมือนกับขบวนการผู้กล้าชาวซ้องใน 8 เทพอสูรมังกรฟ้า และบัดนี้เราอยู่ในโลกที่พัฒนามาแบบ anti สงครามและยกย่องการทูต การตัดสัมพันธ์ทางการทูตและสร้างปัจจัยเสี่ยงต่อสงครามนั้น จะต้องเผชิญแรงกดดันจากชุมชนระหว่างประเทศแน่นอน เพียงแต่ขณะนี้ไฟคลั่งชาติ+คลั่งเจ้ารุนแรงจน คนทั้งในและนอกประเทศที่คิดต่างคงเลือกสงบปากสงบคำไว้ก่อนทั้งนั้น แต่เชื่อเถอะว่าชาตินิยมจะกัดกินตัวเอง
คนที่ไม่เห็นด้วยกับการปลุกกระแสคลั่งชาติอย่างน้อยต้องมีเท่าเดิมหรือไม่ก็มีมากขึ้น เรียกว่าไม่ได้ลดลงเลย (เหตุผลอยู่ในข้อ 3) แต่ไม่เป็นข่าว เพราะทุกคราวที่ผ่านเรื่องทำนองนี้ ถือเป็นธรรมดาที่ในยามกระแสเชี่ยวกราก คนที่ทวนกระแสจะลดการแสดงความเห็นและข่าวจะไปออกในฝั่งที่ทำตัวเป็นข่าวประเภท รักชาติจนยอมให้ใครมาหยามไม่ได้ ที่ชัดมากๆ คือ คราวพธม. ใช้เรื่องพระวิหารโจมตีรัฐบาลก่อน หรือคราวยินดีปรีดากับรัฐประหาร 19 ก.ย. ในภาวะแบบนั้นมันยากมากเรื่องการแสดงความคิดหรือเหตุผล กระแสจึงเทไปทางคลั่งชาติทั้งหมด เพราะจุดใหญ่คือ คนไทยเหมือนโดนปลูกฝังมาให้จุดกระแสชาตินิยมเมื่อไรก็ติดเมื่อนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป เชื่อว่าบรรยากาศเปิดกว้างรับฟังจะมีมากขึ้น
สำหรับขบวนการเสื้อแดง กระแสตีกลับสู่คนเสื้อแดงเองและทำให้การขับเคลื่อนขบวนหยุดชะงักลงอย่างมาก แต่ดังที่หนังสือพิมพ์ต่างๆ ลงบทวิเคราะห์ไว้ว่า นี่เป็นจุดอ่อนของทักษิณที่ถูกตีเมื่อไรต้องแพ้ (ไม่ได้แปลว่าเขาคิดหรือทำตามนั้นจริงๆ แต่เป็นเรื่องของภาพ) ดังนั้น ผมเคยคิดอยู่ว่า ยังไงๆ กระบวนท่าชาตินิยมต้องถูกนำมาใช้อีก เพียงแต่ไม่นึกว่าจะเร็วปานนี้ อย่างไรก็ตาม ผมไม่เชื่อว่าการตีโต้ของพลังจารีตนิยม-ชาตินิยมนั้น จะมีผลต่อเสื้อแดงมากมายแต่อย่างใด เหตุผลอยู่ในข้อถัดไป
3. มิติการเคลื่อนไหวทางการเมือง
พัฒนาการของฝ่ายเสื้อแดงนั้น จะอย่างไรเสียผมเห็นว่ามีการซึมซับกรอบวิธีคิดแบบ Progressivism ไปมากแล้ว ผมจึงมีความเชื่อส่วนตัวว่า คนที่สมาทานความคิดที่เปี่ยมเหตุผลไปในระดับหนึ่งแล้ว จะไม่เปลี่ยนข้างเพียงเพราะกระแสคลั่งชาติ
อย่างที่บอกไว้ว่า การจุดกระแสคลั่งชาติขึ้นมาอีกครั้งจนเหมือนรัฐบาลประชาธิปัตย์กลับมากุมชัยชนะได้ เป็นเพียงชัยชนะที่ว่างเปล่าและเล่นกับความรู้สึกล้วนๆ เหตุผลสำคัญ คือ การเลือกทางออกเช่นนี้ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ ในชาติที่มีมาก่อนนี้เลย ปัญหาเหล่านั้น เช่น ปัญหาตำรวจ ทุจริตไทยเข้มแข็ง-ชุมชนพอเพียง ความไม่ชอบธรรมในการขึ้นสู่อำนาจ ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน-ตุลาการพิฆาต ความเหลื่อมล้ำทางสังคม การไม่เคารพเสียงเลือกตั้งของคนที่ไม่ได้เลือกฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน ความถือดีของนายกฯ ฯลฯ ถ้าลองถามตัวเองอย่างแฟร์ๆ เราจะรู้ว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกแก้ลงไปเลย หนังสือพิมพ์หลายฉบับเขียนราวกับว่า ประชาธิปัตย์แก้เกมเก่ง พร้อมโกยคะแนนจากกระแส โพลก็ว่างั้น เผลอๆ เลือกตั้งได้เลย ซึ่งผมว่าไร้สาระไปหน่อย เพราะไม่มีอะไร concrete พอที่จะสรุปตามนั้นได้เลยจริงๆ
สมมติฐานของผมคือ คนที่ไม่พอใจกับเรื่องเหล่านั้นที่ผมยกมา (ส่วนมากคนเสื้อแดง) เชื่อเลยว่า เขาคงไม่กลับลำเปลี่ยนมาเชียร์รัฐบาลเพียงเพราะเห็นท่าทีแข็งกร้าวในการตอบโต้เขมรหรือไล่บี้ทักษิณเพราะเรื่องสัมภาษณ์ พูดง่ายๆ ว่าอะไรที่คาใจก็ยังคาใจอยู่แน่นอน เท่าที่เห็น พวกที่เสียงดังขึ้นมาตอนนี้คือฐานคะแนนของประชาธิปัตย์ กับ พธม. เองนั่นแหละ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีจังหวะอะไรจะให้ได้โห่ฮานัก ตอนนี้จังหวะมีแล้วเลยเสียงดัง
เสื้อแดงที่มีการปูพื้นฐานความเคื่อนไหวโดยตั้งอยู่บนความไม่ชอบธรรมต่างๆ ของรัฐบาลนี้ น่าที่จะเอาประเด็นที่ตนเห็นว่าขัดแย้งอย่างสำคัญเป็นเครื่องประเมินมากกว่าการถูกปลุกเร้าจากกระแสคลั่งชาติผ่านการตอบโต้เขมร ส่วนเรื่องโพลผมว่าเพราะข่าวออกมาเรื่องไหนแรง โพลก็จะไหลไปตามนั้น กระนั้นก็ตาม หากมีเสื้อแดงที่หันกลับลำเพียงเพราะอ่อนไหวกับกระแสคลั่งชาติ+คลั่งเจ้าแล้วล่ะก็ ขอให้ทำใจไว้ได้เลยว่า นั่นคงเป็นแค่แดงอ่อนๆ ที่หลักการยังไม่แน่น ….แต่เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง Hegel
Hegel สร้างปรัชญาเชิงจิตนิยม (Idealism) ของเขาขึ้นมาอย่างน่าศึกษา ว่าด้วยเรื่องพัฒนาการของประวัติศาสตร์มนุษย์ว่าไปเกี่ยวอะไรกับ Spirit แต่บทจบที่ไม่สวยของเขาและโดนโจมตีจนทุกวันนี้ คือ เขาจบว่า Prussia คือตัวแบบของปลายทางแห่งประวัติศาสตร์ เป็นจุดหมายที่ Spirit จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง เหมือนกับว่า คิดมาแทบตายแต่ดันมาจบแบบชาตินิยมที่ไม่สมจริงเอาซะเลย
Marx มาทีหลัง ซึ่งนอกจากจะกลับหัวกลับหางปรัชญาของ Hegel ไปเน้นที่วัตถุนิยม (Materialism) แทนแล้ว อานุภาพที่สำคัญของ Marx คือการข้ามเรื่องชาตินิยมไปสู่เรื่องชนชั้น และพยากรณ์ไปถึงเรื่องขบวนการแรงงานระดับระหว่างประเทศ (International) ฐานวิเคราะห์ของ Marx ไม่ได้ถูกทั้งหมดและเหมือนจะแพ้ทุนนิยมในที่สุด (หลัง USSR ล่มสลาย) ที่จริงผมไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องนี้เลย แต่ผมว่าการล่มสลายของ USSR ไม่ค่อยเกี่ยวกับ Marx เท่าไร พูดง่ายๆ ระบบสังคมนิยม (Socialism) เป็นคนละส่วนกับสังคมปลายทางแบบ Communism ของ Marx ยังไม่นับว่าภาพลักษณ์แบบเผด็จการ (Authoritatian) ที่มาปนด้วยจนมั่วไปหมด เอาว่า ถ้ามันมี Non-Marxist Socialist ได้ ย่อมแปลว่า การที่เป็น Socialism กันนั้น ไม่ได้ต้องมี Marxism เป็น prerequisite
คงไม่ไปไกลกว่านี้ในประเด็นนี้ เพียงจะขอโยงกับเสื้อแดงนิดเดียวว่า การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงจงอย่ารวน ถ้ารักจะเป็นนักคิดและเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคม ต้องไม่จบแบบ Hegel คือ คิดๆ ไปแทบตายแต่เจอชาตินิยมแล้วจอดสนิททันที ต้องก้าวข้ามกระแสชาตินิยมได้แบบ Marx จึงจะเห็นประเด็นความขัดแย้งที่ชัดขึ้นและไม่เสียจุดยืน
…..เมื่อนั้นปัญญาจะสร้างภูมิคุ้มกันจากกลุ่มอาการคลั่งชาติและคลั่งเจ้าติดตัวไว้อย่างถาวร
สวัสดีครับ ผมหลงทาง ผ่านมาโดยบังเอิญ พอดีเสิร์ชกูเกิ้ลไทย อยากหาว่า Syllogism แปลเป็นไทยว่าอะไร เจอบล็อกคุณเข้าพอดี เลยย้อนกลับไปอ่านเพลินเลย ขออนุญาตเอาบล็อกของคุณไปแปะในเฟซบุ๊คผมนะครับ หากไม่อนุญาต แจ้งผมได้เลย จะได้เอาออกให้ เพราะ เกรงว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงานคุณเหมือนกัน แหม่ ยิ่งเจ้ากระทรวงคนนี้แล้วด้วย อิอิปิยบุตร
อ.ปิยบุตร ครับสารภาพว่าดีใจมากเมื่อทราบว่ามีคนเก่งๆ อย่างอาจารย์มาอ่าน Blog ของผม ผมเองติดตามงานของอาจารย์อย่างสม่ำเสมอ ตอนที่ผมเริ่มอ่าน Blog ของอาจารย์รวมทั้งคมลัมน์ใน Open ผมก็อ่านอย่างเพลิดเพลินเช่นกันเรื่องเอา Blog ผมไปแปะในเฟซบุ๊คของอาจารย์ผมยินดีอย่างยิ่ง แต่ต้องสารภาพว่า ที่ตอบช้ามากๆ (3 เดือน) เพราะไม่ได้เข้ามาดูแล Blog เลย วุ่นวายกับการ relocate และกลับมาเริ่มอาชีพสอนหนังสือ ….ที่สำคัญกิจกรรม Blog ซบเซาจนไม่นึกว่าจะมีคนผ่านมาอ่านขอบคุณอีกครั้ง และดีใจที่ได้มีโอกาสติดต่อกันครับศุภวิทย์