อภิชนกับพฤติกรรมแบบยุคมืด

 
อดีต…
 
ไม่ต้องไปไกลถึงยุคกรีก-โรมัน เริ่มจากยุคกลาง (Middle Age) ก็พอ
 
ภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิ์โรมันตะวันตกอันเกรียงไกร ศาสนาจักรเป็นเพียงสถาบันหลักเดียวที่รอดพ้นมาได้และสามารถผสานเข้ากับแนวคิดของอนารยชนเผ่าต่างๆ ทำให้ยุโรปเข้าสู่ยุคกลาง ซึ่งบ้างก็เรียกว่ายุคมืด (Dark Age) ที่เกิดระบบศักดินา (Feudalism) ของพวกกษัตริย์ขุนนาง และศาสนจักรฝ่าย Roman Catholic ที่มีองค์สันตปาปาเป็นผู้นำ
 
ในยุคกลางที่ศาสนจักรเป็นใหญ่นั้น หากจะถามถึงภูมิหลังทางความคิด ก็ต้องเข้าใจว่าสังคมขณะนั้นเชื่อในพลังที่มอบหมายจากพระเจ้า (Divine Power) นั่นคือ มนุษย์นั้นมีเหลื่อมล้ำต่ำสูง มนุษย์ไม่เสมอภาค การเข้าถึงหรือสื่อสารกับพระเจ้าเป็นข้อจำกัดที่มีไม่เท่ากัน พระย่อมเหนือกว่าฆราวาส และในหมู่พระเองหรือฆราวาสเองยังมีลำดับอีก  Saint Thomas Aquinas เขียนตำราเทววิทยา "สายโซ่แห่งสัตตภาวะ" ซึ่งจำแนกความใกล้-ห่างจากพระเจ้า ไล่จากพระเจ้า เทวดา สันตปาปา กษัตริย์ ไพร่ ฯลฯ ในหมู่มนุษย์ สันตปาปาทรงอำนาจสุดเพราะเป็นผู้เข้าถึงหรือรับสารจากพระเจ้าได้มากกว่าคนทั่วไป กษัตริย์ก็อาจจะรับพลังต่อจากสันตปาปา อย่างกรณีกษัตริย์ต้องให้สันตปาปาสวมมงกุฎให้  เป็นเช่นนี้ไล่ๆๆๆ กันไป 
 
ด้วยความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์นี้ ถ้ามันอยู่กันอย่างสงบคงไม่เป็นไร  แต่โลกฤๅจะเป็นเช่นนั้น
 
ความทรงอิทธิพลในฐานะผู้ผูกขาดความจริงทำให้ศาสนจักรทำอะไรก็ได้  เรื่องหลักๆ ที่ทำแล้วต่อมาสร้างความเดือดร้อนได้แก่
 
1) การขายใบไถ่บาป  เพราะมนุษย์กลัวจะไม่ได้ไปสวรรค์ ศาสนจักรบอกว่าไม่เป็นไร ถ้าทำบาปแล้วมาซื้อใบไถ่บาปๆ ก็จะหมดไปได้ ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ คนรวยย่อมไปสวรรค์กันหมด คนจนย่อมไม่มีทางเลือก จะกินยังไม่มีแล้วจะไถ่บาปเนี่ยนะ   การหาเงินแบบไม่มีต้นทุนนี้ (คือ ขายแค่กระดาษเปื้อนหมึก) สร้างความไม่พอใจ  จนถึงขั้นที่มีคนประท้วง คือ Martin Luther ซึ่งเป็นนักบวชที่ไม่พอใจความฟอนเฟะของศาสนจักรและได้ออกมาประท้วง (protest) ศาสนจักรอย่างไม่กลัว และเมื่อมีคนคล้อยตามคำสอนของ Luther ทำให้เกิดนิกาย Protestant ขึ้นมา  ด้วยเชื่อว่าสิ่งที่ศาสนจักรกำลังมอมเมาอยู่นั้น มิใช่พระประสงค์ของพระเจ้า มิใช่คำสอนที่บริสุทธิ์
 
2) ระบบศาลศาสนา (Inquisition) ที่ลือลั่นคือ Spanish Inquisition ซึ่งได้สังหารพวกยิวแพวกมัวร์ไปจำนวนมหาศาล  ระบบศาลศาสนานี้คือการกำจัดผู้มีความเชื่อที่ไม่บริสุทธิ์ พวกนอกศาสนา เชื่อไม่เหมือนที่ศาสนจักรสอน  ซึ่งมิได้หมายหัวแต่พวกแม่มดหมอผีเท่านั้น หากแต่ระบบนี้ พวกคนต่างศาสนาก็ถือว่านอกศาสนาด้วย และหากสอนแบบที่ถูกให้แล้วยังไม่เชื่อตาม ก็ฆ่าได้ทันที จะปล่อยให้ยึดคำสอนผิดๆ ที่ขัดกันกับศาสนจักรไม่ได้เด็ดขาด  ระบบศาลศาสนานี้ ศาสนจักรเป็นผู้สืบสวน เป็นผู้ฟ้อง เป็นผู้ไต่สวน และเป็นผู้พิพากษา ด้วยตนเองตลอดทั้งกระบวนการ   แน่นอนถ้าใครเผอิญเป็นเหยื่อคงไม่ต้องหวังรอด เพราะคนที่จับคุณกับคนที่จะตัดสินคุณเขาคิดแบบเดียวกัน
 
ศาสนาจักรเริ่มสั่นคลอนเมื่อเข้าสู่ยุค Renaissance ซึ่งรัฐต่างๆ เริ่มจะกลายเป็นรัฐชาติ (Nation State) พวกกษัตริย์อยากจะสถาปนาอำนาจที่เบ็ดเสร็จของตนขึ้นแทนที่ พร้อมๆ กับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ-การค้าซึ่งหลุดพ้นจากยุคกลาง (อ้อ มีที่ศาสนจักรสอนด้วยว่าการค้ากำไรเป็นบาป การซื้อขายต้องกระทำแต่ที่จำเป็น)  ศาสนจักรยังอยากที่จะคุมอำนาจเหนือกษัตริย์ต่างๆ เอาไว้ แต่ยากจะต้านทานความเปลี่ยนแปลง   แน่นอนในรัฐที่อำนาจศาสนจักรสูง การกลายเป็นรัฐชาติย่อมทำได้ช้า อย่างกรณีของเยอรมันและอิตาลี
 
ความเปลี่ยนแปลงยังไร้ความปรานีหนักขึ้นไปอีกเมื่อเกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) ซึ่งทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ทางจักรวาลวิทยา ล้มล้างคำอธิบายเดิมๆ ที่ผิด รวมถึงการอธิบายโลกและประวัติศาสตร์ด้วยคัมภีร์-คำสอนทางศาสนา นั้น ถูกตั้งคำถามทั้งหมด  จักรวาลวิทยาเดิมๆ ที่ว่า โลกแบนและโลกคือศูนย์กลางจักรวาลถูกล้มล้าง  พร้อมกันนี้เกิดการเดินทางสำรวจอันยิ่งใหญ่ๆ ต่างด้วยที่ยืนยันว่าสัณฐานของโลกนั้นกลม
 
อาจารย์ของผมเคยบอกว่า ความยิ่งใหญ่ที่สุดของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ก็คือ การเปิดโลกทัศน์ที่ว่ามนุษย์สามารถเข้าถึงความรู้ใดๆ ได้ เมื่อมีเครื่องมือและวิธีการศึกษาที่ถูกต้อง ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นจะมีชาติกำเนิดอย่างไร   สิ่งนี้เองที่ได้ทำลายระเบียบโลกเก่าลง ไม่มีอีกแล้วที่จะต้องเชื่อนักบวช ด้วยเหตุว่านักบวชรับสารมาจากพระผู้เป็นเจ้า คนชั้นต่ำนั้นไม่สามารถรับสารแบบเดียวกันได้  การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ที่นำโดยสามัญชนอย่าง Issac Newton กลับเปิดเผยความจริงที่ถูกต้องกว่าผู้ที่อ้างว่าเข้าถึงพระเจ้า
 
อิทธิพลประการสำคัญคือ การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดแนวคิดเหตุผลนิยมและประจักษ์นิยม จนความรู้แขนงต่างๆ พยายามนำวิธีการศึกษานั้นไปใช้ พยายามให้องค์ความรู้ของตนมีกระบวนการเหมือนวิทยาศาสตร์   นอกจากนี้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์มีเพิ่มขึ้น ลัทธิปัจเจกชนนิยมตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นเช่นนี้
 
ตั้งแต่ผมได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ ผมปักใจเชื่อว่า ปรากฏการณ์ครั้งนั้นคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ  แม้ว่าในแง่ประวัติศาสตร์จะมีผลพวงตามมาในเชิงหายนะ เช่น หลังจากนั้นทำไมยังมีสงครามโลก ทำไมมีลัทธิอาณานิคม ฯลฯ   หากแต่ผลในเชิงเสริมสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์นั้น ยิ่งใหญ่กว่ามาก และทำให้การปลดปล่อยทางสังคมเกิดขึ้นได้จริง (ภายใต้เงื่อนไขว่าสังคมยุโรปเกิดพลวัตรมาตั้งแต่ยุค Renaissance)
 
สรุปแล้ว ศาสนจักรเคยอ้างความศักดิ์สิทธิ์ อ้างความสามารถในการเข้าถึงสัจจะ (พระเจ้า) ใครไม่เชื่อตามสามารถพิพากษาให้ถึงชีวิตได้  แต่การผูกขาดความจริงของศาสนจักรต้องพังทลายลงเพราะการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ส่งเสริมการตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ และเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ 
 
ปัจจุบัน…..
 
ผมไม่แน่ใจว่า สังคมรอบตัวผมจะจัดอยู่ในยุคสมัยที่ผ่านการปฏิวัติวิทยาศาสตร์มาแล้วได้อย่างไร
 
ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยขณะนี้ คือ การผูกขาดความจริงและการอ้างความเข้าถึงสัจจะ แบบเดียวกับที่อ้างพระเจ้า   สังเกตได้ว่ามีอยู่สถาบันหนึ่งที่เมื่อใครแสดงความเชื่อมโยงด้วยแล้วก็เหมือนจะกลายเป็นผู้ครองสัจจะ พูดอะไรถูกหมด ตัดสินความดี-ชั่วได้หมด
 
เราอยู่ในนิติรัฐหรือเราอยู่ในระบบ inquisition เพราะเมื่อใช้กำลังฉีกกติกา ตั้งคณะไต่สวน ส่งเรื่องให้ตุลาการที่แสดงออกว่าลำเอียงเหลือเกิน  เราก็ยังต้องท่องเอาแต่ว่า ศาลบ้านเรายุติธรรมๆ  ทั้งๆ ที่อารยประเทศเขาไม่มีทางเอาปฏิปักษ์มาเป็นตุลาการในคดีที่รู้ว่ามีปฏิปักษ์เป็นจำเลย  ระบบพิการแบบที่ฝ่ายชงเรื่อง สอบสวน ตัดสิน มันฮั้วกันไปหมด  ก็ยังเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอย "ชี้แจง" กับต่างชาติว่า นี่แหละยุติธรรมแล้วนะ โปรดเชื่อด้วย
 
เรามีอันธพาลที่จะทำอะไรก็ได้ สร้างความเดือดร้อนเท่าไรก็ได้ โดยอ้างว่าจะมาล้างการฉ้อราษฎร์บังหลวงด้วยการกำจัดนักการเมืองโฉด   แต่คนกลุ่มนั้นไม่เคยเคลื่อนไหวมวลชนด้วยปัญญา  ไม่มีข้อเสนอว่าจะปรับระบบการคลัง และการกระจายรายได้ของประเทศอย่างไร  ไม่เคยเสนอแผนทางเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาว่างงาน การยกระดับคุณภาพแรงงาน ระดับการเปิดประเทศที่เหมาะสม ฯลฯ  ไม่เคยเสนออะไรที่เป็นองค์ความรู้วิชาการเลย  แต่กลับบอกว่า หากทำสำเร็จประเทศจะดีขึ้น   …..อืม หากวิธีกุดหัวคนชั่วไม่ให้มีอำนาจนี้ช่างประเสริฐปานนั้น ผมว่าลองทำเป็น masterplan เสนอต่างชาติดีกว่า ว่าประเทศของท่านก็เจริญได้ ขอเพียงแค่ช่วยกันกำจัดนักการเมืองเลวๆ ในแบบเดียวกัน
 
สังคมที่รุดหน้ากว่านี้เขารู้มานานแล้วว่า การดุ่มๆ ไปชี้หน้าใครว่าเลว แล้วบอกว่าขอตัดสิทธิคุณไม่ให้มีอำนาจ หรือตรงข้าม เดินไปชี้หน้าใครแล้วบอกว่า ท่านช่างดีเหลือเกินช่วยมามีอำนาจปกครองพวกเราเถิด  มันไม่มีใครที่ไหนเขาทำแล้วเพราะดีชั่วมัน subjective สุดๆ  สังคมเป็นการรวมตัวของหลายปัจเจก จึงต้องให้อำนาจแก่ทุกๆ ปัจเจกเท่าๆ กันมาตัดสินชะตาร่วมกัน  เรื่องแค่นี้เป็นพื้นฐานสามัญที่สุดของโลกสมัยใหม่   แต่การโหยหาคนดีกลับบังตาให้หลายคนทำลายระบบ เพื่อจะทั้งบีบและดันให้คนดี (ในความคิดของเขา) ออกมาให้ได้ 
 
เรื่องนี้พูดกี่ทีก็เหนื่อย เพราะผมเคยกล่าวไปแล้วว่า สังคมนี้มีอภิชนที่สั่งสมต้นทุนทางสังคมไว้สูง (ซึ่งจริงๆ เขาได้มันมาจากทรัพยากรรวมของทั้งสังคม) ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนตัวยิ่งสำหรับพวกเขา  เขาจึงย่อมจะพอใจกติกาใดๆ ก็ตามที่เอื้อให้เขาแปรต้นทุนทางสังคมนั้นเป็นอำนาจที่จับต้องได้ แถมไม่ถูกมองว่าละโมบอีกนะ เพราะถูกเชิญมาในฐานะเทวดา
 
…..ผมเริ่มรู้สึกว่า ผมเขียนแต่เรื่องแบบนี้จนตัวเองวนอยู่กับที่ซะแล้ว   แต่ทำไงได้ในเมื่อสังคมนี้ยังเชื่อว่าอภิชนเข้าถึงสัจจะได้ดีกว่าไพร่ และอภิชนใช้ระบบอันโหดเหี้ยมเพื่อชำระให้อุดมการณ์ของพวกตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แทบไม่ต่างกับระบบศาลศาสนา  ตลอดจนทรมานนักการเมืองและบีบคั้นผู้เลือกตั้งราวกับการเผาพวกนอกศาสนาในยุคกลาง เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง….ที่ทำทั้งหมดเขาอ้างอยู่อย่างเดียวว่า พวกเขาอยู่ "สูง" เข้าถึงสัจจะได้ดีกว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่า พร้อมจะปกครองได้มากกว่าใครหน้าไหน
 
…..แล้ววันหนึ่ง Scientific Revolution คงมาเยือนพวกท่านเอง  
 
ข้อความนี้ถูกเขียนใน Uncategorized คั่นหน้า ลิงก์ถาวร

ใส่ความเห็น